ประวัติ kawasaki

Kawasaki Heavy Industries ถือกำเนิดในปี 1878 เมื่อ Shozo Kawasaki ได้ก่อตั้งอู่ต่อเรือที่Tsukiji กรุง Tokyo ซึ่งก็กลายมาเป็นยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมเรือ ,รถไฟ, วิศวกรรมโยธา ,งานเหล็กกล้า,อากาศยาน ทั้งหมดนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการรวมตัวกันครั้งยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งใน Zaibatsu หรือบริษัทต่างๆทางเศรษฐกิจที่ทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนจากประเทศระบอบขุนนางกลายมาเป็นประเทศอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว Kawasaki ได้เข้าสู่วงการรถจักรยานยนต์และเครื่องยนต์ในช่วงต้นทศวรรษที่ 50 ในปี1962 รถ Kawasaki 125 รุ่นแรก ออกสู่ตลาดและสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัท ถึงแม้จะเป็นที่รู้จักดีในรุ่นนี้ แต่บริษัทก็ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในภาพรวม ก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าร่วมกับ Meguro ซึ่งเป็นบริษัทรถจักรยานยนต์ญี่ปุ่นช่วงก่อนสงคราม หลังจากนั้นกลายมาเป็นที่รู้จักกันดีในลักษณะคู่แฝดผู้ออกแบบ BSA ซึ่งใช้ชื่อ Meihatsuที่ใช้เครื่องยนต์ของ Kawasaki
ก้าวแรก
เมื่อKawasaki ได้เปิดตัวรุ่นแรกออกมา และได้เข้าร่วมอย่างจริงจังในการแข่งขัน European Grand Prix เป็นการส่งเสริมการขายสินค้าได้เป็นอย่างดี Kawasaki เป็นผู้แข่งขันจักรยานยนต์วิบากของญี่ปุ่นโดยใช้จักรยานยนต์รุ่นหนึ่งโดยการปรับแต่งและระบายสีตัวถัง ได้รับชัยชนะและ “Red Tank Kawasaki” ก็คือสโลแกนในการโฆษณา ซึ่งเป็นวิธีการนำเสนอที่ได้นำกลับมาใช้ได้ใหม่อีกครั้ง Kawasaki ได้เริ่มส่งออกสินค้าไปสหรัฐในช่วงกลางทศวรรษที่60 และในยุโรปหลังจากนั้นขอบเขตการขยายส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ภายในประเทศ โดยเฉพาะเครื่องยนต์สองจังหวะสูบเดียวขนาดเล็ก สำหรับใช้งานบนถนน,ทางลาด และสำหรับติดตั้งในเครื่องขุด ทั้งหมดนี้ผลิตอย่างเรียบง่ายคุ้มค่าและใช้งานได้ดี มีหลายๆรุ่นที่อยู่ในตลาดเป็นปีๆ บ่อยครั้งที่เปลี่ยนเฉพาะสีและรูปทรงหรือบางครั้งก็มีการพัฒนาด้านกลไกบ้าง ดังนั้นปัจจุบันรุ่น KH125 ได้รับต้นแบบมาจากรุ่น B8ในปี1962
อย่างไรก็ตาม Kawasaki ต้องการให้ชื่อได้รับความนิยมจึงได้เน้นเรื่องประสิทธิภาพเป็นเส้นทางการขยายเครื่องยนต์สูบเดียว ทำให้ได้รับการยอมรับจากตลาดภายในประเทศและตั้งเป็นฐานการผลิตแต่ก็ไม่สามารถสร้างสีสันต่อการส่งออกได้ บริษัทได้ก้าวเข้าสู่การแข่งขันอย่างจริงจัง โดย Meguro ได้เข้าสู่ถนนการแข่งขันในปี1957 ที่ Asama ในประเทศญี่ปุ่น ปี1965 Kawasaki เข้าแข่งขันในรายการ GP ของญี่ปุ่นโดยใช้รุ่น125cc สองสูบ และสองปีต่อมาในรายการนี้ได้ใช้ทั้งสองสูบและสี่สูบในรุ่น125cc ในปี1969 เมื่อ Dave Simmonds ได้รับชัยชนะระดับโลกในรุ่น 125cc ด้วยชัยชนะ 8 ครั้ง และ ที่สอง 2 ครั้ง รวมถึงการชนะ TT
ตั้งแต่นั้นมา Kawasaki ได้เดินบนเส้นทางแห่งประสิทธิภาพอย่างมั่นคง ถึงแม้ว่าความพยายามครั้งแรกจะล้มเหลว ได้นำเครื่อง4จังหวะเก่าของ Maguro ที่มีหน้าตาเหมือน BSA Golden Flash คู่มาใช้และขยายเป็น 624cc ถึงแม้แนวคิดจะเป็นจริงและรุ่นนี้ก็ขายดีมากในญี่ปุ่น แต่ในอเมริกาก็ล้มเหลวเมื่อมีการพูดถึงว่าเครื่อง2 สูบของอังกฤษนั้นดีกว่า ดังนั้นความพยายามที่จะตกแต่งให้เหมือน Meguro แบบเก่าไม่ได้ผล การตกแต่งแบบสปอร์ต รุ่นที่มีท่อไอเสียระดับเอวได้ถูกนำมาใช้แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจของของคนอเมริกัน อาจเป็นเพราะรูปแบบ BSA เดิมๆมากเกินไป ลูกค้าจึงกลับไปซื้อรุ่นเดิมแทน
เครื่องยนต์สองสูบ

การบำรุงรักษา Kawasaki KSR 110
อย่างแรกที่เราควรจะต้องรู้จักกันก็คือข้อมูลทางเทคนิคของรถ Kawasaki KSR 110 ก็คือเครื่องยนต์นั้นเป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะ 1 สูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ ระบบ SOHC 2 VALVE ปริมาตรกระบอกสูบ 111 ซีซี ความกว้างกระบอกสูบ 53 มม. ช่วงชัก 50.6 มม. ระบบเกียร์ 4 เกียร์ เฟืองขบกันตลอด นี่คือข้อมูลบางส่วนที่ควรรู้และขอสรุปข้อมูลทั้งหมดในตอนท้ายเรื่องนะครับ ทีนี้เราก็มาดูการดูแลรักษากันดีกว่า
วิธีการตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่อง
ตั้งรถจักรยานยนต์ถอดผาปิดช่องน้ำมันเครื่องและเช็ดก้านน้ำมัน ให้สะอาดและปิดฝาช่องเติมน้ำมันเครื่อง แต่ไม่ต้องขันเกลียว ถอดก้านน้ำมันเครื่องออกและเช็คระดับน้ำมันถ้าระดับน้ำมันอยู่ต่ำกว่าขีดบอกระดับก้านวัดให้เติมน้ำมันเครื่องให้ได้ระดับวิธีการตรวจสอบหัวเทียน
เช็คการแตกร้าวของฉนวน เช็คการสึกหรอของเขี้ยวหัวเทียน เช็คสภาพการเผาไหม้และสีของฉนวนเขี้ยวหัวเทียน ซึ่งถ้าสีน้ำตาลแก่ถึงน้ำตาลอ่อนแสดงว่าการเผาไหม้สมบูรณ์ แต่ถ้าสีอ่อนเกินไปแสดงว่าระบบจุดระเบิดมีปัญหาหรือส่วนผสมน้ำมันกับอากาศบางเกินไป แต่ถ้ามีเขม่าสีดำหรือเปียกแสดงว่าส่วนผสมน้ำมันกับอากาศหนาเกินไปการบำรุงรักษา คาร์บูเรเตอร์ และหม้อกรองอากาศ
ควรเช็คบ้างว่าสกปรกหรือไม่ ถ้าหากคาร์บูเรเตอร์สกปรกก็ควรถอดมาล้างเพราะถ้ามีเศษของขี้ผงอาจทำให้นมหนูอากาศอุดตันได้ และวิธีการทำความสะอาดคาร์บูเรเตอร์ต้องถอดชิ้นส่วนของ ลูกเร่ง, นมหนูใหญ่, เสื้อนมหนูและนมหนูเดดินเบา, และสกรูปรับอากาศ การทำความสะอาดช่องทางเดินอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นควรใช้ลมแรงดันสูงเป่า ผ่านช่องทางเดินอากาศ และน้ำมันเชื้อเพลิงของเรือนคาร์บูเรเตอร์หรืออาจจะใช้เศษลวดชิ้นเล็กๆ ใส่เข้าไปในรูทางช่องเดินน้ำมันและอากาศก็ได้แต่อาจทำให้ เกิดความเสียหายกับเรือนคาร์บูเรเตอร์ได้และทุกๆ ครั้งที่ล้างคาร์บูเรเตอร์ก็ควรนำไสกรองออกมาเป่าลมหรือซักกับน้ำสะอาดอยู่เสมอ ซึ่งก็จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้การขับ ksr ขั้นพื้นฐาน
KSRจากอตีดสู่ปัจจุบัน
รุ่นแรก สีดำเขียวลาย 1
ออกมาประมาณปี 48 สีเขียว ตอนนั้นรุ่นแรกที่ออกมาแทบจะไม่มีใครรุ้จักเลย บางทีมองเป็นรถโหลกันเสียด้วยซ้ำแต่ไม่นานหลังจากนั้น ทางค่ายคาวาก็ออกลาย 1 มาอีก 2 สี คือ สีน้ำเงิน กับ สีเทา ซึ่งหลังจากเริ่มออกมาอีกสองสี รถรุ่นนี้ก็เริ่มขายออกแต่ก็ยังรู้กันเฉพาะในวงแคบๆKSR รุ่นแรก ลาย1 เขียว/เทา/น้ำเงิน
ในปี 49 ประมาณกลางๆปี ก็ได้ออกลายพิเศษออกมา เรียกว่าลาย Nakano หรือ เราเรียกกันว่าลาย 1.5 Mr.Shinya nakano นักแข่งรถที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการแข่งขัน Moto GP World Championship โดยใช้รถ KAWASAKI รุ่นNINJA ZX-RR จากทีม Kawasaki Racing Team เรียกลายนี้ว่าลาย1.5ลิมิเต็ล แต่ตอนนี้ ทางโรงงานก็ยังผลิตชุดสีนี้ออกมาจำหน่ายอยู่ ในรูปล้อของจริงเป็นล้อดำครับ
จำไว้นะครับนี่คือลาย Nakano หรือ เราเรียกกันว่าลาย 1.5นั่นเอง
และในเวลาต่อมาไตรมาสสุดท้ายของปี 49 KAWASAKI ก็ได้ออกลาย 2 มาให้ชื่นชม เนื่องจากลายแรกมีมานานพอสมควร..ลายนี้เรียกว่าลาย งาช้าง ครับ ดูจากลายแล้วก็สมควรแหล่ะครับ สงสัยทีมนักผลิตมาเที่ยวปางช้างที่เมืองไทยแล้วเกิดแรงบันดาลใจสร้างลายนี้ขึ้นมา...รึป่าว 555 เดาเอานะครับ และได้ออกสีที่โดดเด่น และเป็นเพียงชุดสีเดียวที่ต้องนำเข้าจากญี่ป่น นั้นก็คือ สีส้ม รุ่นนี้ทำมา 3 สีด้วยกันคือ เขียว ดำ ส้ม
ลาย 2 ออกมาได้สักพัก พร้อมกับจุดเริ่มต้นยุครุ่งเรืองของ KSR เริ่มมีให้เห็น และเริ่มเป็นที่สนใจของคนโดยรอบข้าง พร้อมกับต้องตอบคำถามมากมายเมื่อไปจอดรถที่ไหนก็ตาม ถัดจากลาย 2 ไม่นานหนัก ... ในปี 50 ก็ได้ออกลาย 3 มา..ลายนี้ เรียกว่า ลาย 3 ...อ้าว..ลายนี้ไม่ค่อยมีชื่อเรียกเท่าไร เรียกลายยากูซ่า แล้วกัน ลายออกแนวญี่ปุ่น
ออกมา 3 สี คล้ายของเดิม เขียว ดำ และเพิ่ม ขาว เข้ามา..สีล้อที่แตกต่างจากรุ่นก่อน เป็นสีเทา และเพิ่มเทคโนโลยี สตาร์เบา เข้าไป ทำให้สตาร์ทได้ง่ายขึ้น
และในปี 50 ปีเดียวกันนี้ ก็ได้ออกลายพิเศษ KITAKO และ TAKEGAWA อันนี้ลิมิเต็ลของจริง ไม่แน่ใจว่าทั่วประเทศ แบบละ 50 คัน หรือ 100 คัน พร้อมกับจำหน่ายชุดสี ทั้ง 2 ลาย ในราคา ปกติ แต่ตอนนี้เปนหมื่นแล้วครับ
สีลิมิเต็ล ลายเพลิงส้ม KITAKO
ในปี 51 ลาย 4 ก็ถือกำเนิด มาพร้อมกับความลงตัวของลวดลาย..ออกมาทั้งหมด 3 สีเหมือนเดิม เขียว ดำ และ แดง แต่ที่พิเศษกว่ารุ่นก่อนๆคือ ตัวถังเป็นสีนั้นๆ ปกติถังจะเป็นสีดำตลอด..พร้อมสีโครงดำด้าน
และทาง KAWASAKI ยังมีสติกเกอร์ Limited ออกมาวางจำหน่าย 4 แบบ แบบ ละ 100 ชุด ในชุดลาย 4
KITACO เพลิงสีส้ม
ลาย CHABA เอาใจสาวๆที่เริ่มเขามาใช้ KSR กันมากขึ้น
BADBOY สีแดง
TAKEGAWA สีเหลือง
ในปีนี้ 52 ก็ได้ออกลาย 5 มาพร้อมกับการเปลี่ยนสีของโช๊คหน้า โช๊คหลัง ปั้มเบรคล่างหน้าหลังเป็นสีเงิน โครง แฮนด์ อาร์ม เป็นสีไทเทเนียม ออกมาทั้งหมด 3 สีด้วยกัน ที่น่าแปลกใจ และมีอาการตกใจนิดๆ นั้นคือ สีเขียวหายไป!! ขาว แดง น้ำเงิน..รุ่นนี้กลับมาใช้ถังดำเหมือนเดิม..
สีแดงลาย 5
สีน้ำเงินลาย 5
สีขาวลาย 5
แอบมีเซอร์ไพร์เล็กๆ แม้แต่ ตัวแทนจำหน่ายยังรู้ล่วงหน้าไม่กี่วันก่อนวางจำหน่าย ลายนี้เราเรียกกันว่า ลาย 5.5 และที่เชียงใหม่เปิดตัวเป็นที่แรก..ลาย 5.5 ดูลงตัวกว่า ลาย 5 (คนออกแบบ อย่างอนเค้านะ..) ออกมา 2 สี คราวนี้ไม่พลาด สีเขียว กับสีดำแดง
สีเขียวลาย 5.5
สีแดงลาย 5.5
ตุลาคม 2553 ทางคาวาซากิ ก็เปิดตัว ksr ตัวใหม่ ในชื่อ KSR NEW 2010 ซึ่งมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากเดิมหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นท่อ ซึ่งดูสวยกว่าท่อรุ่นเดิมมากๆ เท่าที่ดูความแตกต่างจากรุ่นเดิมก็มี ลายรถ ,กระจกมองหลังเหมือน DTX เลย ,หน้ากาก ,ไฟเลี้ยวหน้าหลัง ,บังโคลนท้าย ,ชุดไฟท้าย ,บังโซ่หน้า ,เบาะนั่ง บังโคลนหน้าดู Sport กว่าเดิม ,,ล้อแม็คสวยกว่าเดิมมาก ,จานดีสเบรค การ์ดโช๊ค ,แท้งค์เครื่องสวยกว่าเดิมสีน้ำตาล ,ประกับเร่งขวา และประกับซ้ายก็เปลี่ยนใหม่หมดเลย แทบจะเปลี่ยนใหม่หมดทั้งคัน มีด้วยกัน3สี คือ เขียว ขาว เหลือง
KSR NEW 2010 ลาย1 สีเขียว
KSR NEW 2010 ลาย1 สีขาว
KSR NEW 2010 ลาย1 สีเหลือง
ล่าลุดช่วงปลายปี 2554 ก็มี ออกมา เปลี่ยนลายกราฟฟิคใหม่เรียกว่า Aggressive Dirt Style มีด้วยกันสามสีคือ เขียว ส้ม ดำ
KSR NEW 2010 ลาย2 สีดำ
KSR NEW 2010 ลาย2 สีเขียว
KSR NEW 2010 ลาย2 สีส้ม